วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

บียอนด์ มากิ พลัส กับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง


มารู้จัก'โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง'กันเถอะ




   'โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง' (เอแอลเอส) คือโรคการเสื่อมสลายของประสาทที่ไม่มียารักษา ป่วยแล้วเสียชีวิตได้ภายใน 2-5 ปี ทำให้คนทั่วโลกร่วมท้าภารกิจ 'Ice BucketChallenge' เพื่อร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือ
         กลายเป็นกระแสไปทั่วโลก เมื่อสมาคมผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (ALS Assocition) เดินหน้าท้าคนดังทั่วโลกทำภารกิจ 'Ice BucketChallenge' เทน้ำเย็นเจี๊ยบราดทั้งตัวจนหนาวสั่น พร้อมบริจาคเงินตามศรัทธาให้มูลนิธิใด ๆ ก็ได้ตามชอบ และส่งคำท้าให้เพื่อนต่ออีก 3 คน ทำตามภายใน 24 ชั่วโมง หากใครไม่ทำตามจะต้องบริจาคเงิน 100 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,000 บาท) เข้ากองทุนสมาคมผู้ป่วยโรคเอแอลเอสแทน เพื่อที่สมาคมจะนำไปทำวิจัย ให้การรักษาผู้ป่วย และสนับสนุนการต่อสู้กับโรคนี้ในด้านต่าง ๆ
         และแน่นอนว่า กระแสนี้ก็มาถึงคนดังในประเทศไทยด้วย โดยหลายคนพากันติดแฮชแท็ก 'Ice BucketChallengeTH' และส่งคำท้าภารกิจต่อกันมากมาย แต่นอกเหนือจากการวัดใจภารกิจและความสนุกสนานกับกระแสที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้ก็คือ จุดประสงค์หลักของภารกิจนี้ที่มีขึ้นเพื่อให้คนรู้จักและตระหนักถึงอันตรายของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (ALS) โรคที่สร้างความทรมานให้ผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่งก่อนจะเสียชีวิต ถึงเวลาที่เราจะไปทำความรู้จักโรคนี้กันสักครั้ง
         โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส คืออะไร
         โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอสนั้น คำว่า 'เอแอลเอส' ย่อมาจาก Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) ไม่จัดว่าเป็นโรคของกล้ามเนื้อโดยตรง แต่เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ หรือความผิดปกติของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง จึงทำให้กล้ามเนื้อตามแขนและขาอ่อนแรงลง กลืนลำบาก พูดไม่ชัด โดยเซลล์เหล่านี้มีอยู่ในไขสันหลังและสมอง เมื่อเซลล์เสื่อม มันจะค่อย ๆ ตายไปในที่สุด
         ในทางการแพทย์อาจเรียกชื่อโรคนี้อีกชื่อว่า 'โรคของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง' (motor neuron disease; MND) หรือ 'โรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม' ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาจะรู้จักกันดีในชื่อว่า 'Lou Gehrig's Disease' (ลู-เก-ริก) ซึ่งตั้งชื่อโรคตามชื่อนักเบสบอลที่มีชื่อเสียงที่เป็นโรคนี้ในปี ค.ศ. 1930
          โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส ใครคือกลุ่มเสี่ยง
          จากสถิติทั่วโลก พบว่า มีผู้ป่วยโรคนี้ไม่มากนัก โดยในประชากร 100,000 คน จะพบคนป่วยโรคนี้เพียง 4-6 คนเท่านั้น ขณะที่ในประชากร 100,000 คน จะมีโอกาสพบผู้ป่วยรายใหม่ เพียง 1.5-2.5 คนต่อปีเท่านั้น โดยพบในผู้ที่มีอายุมากมากกว่าในคนอายุน้อย เพราะอายุเฉลี่ยของผู้ป่วยโรคนี้อยู่ระหว่าง 60-65 ปี และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 1.5 เท่า
          อย่างไรก็ตาม จากประวัติผู้ป่วยโรคเอแอลเอส ร้อยละ 90 ยังไม่พบข้อมูลที่แน่ชัดโรคนี้เกี่ยวข้องกับทางพันธุกรรม แต่ที่ผ่านมา มักพบนักกีฬาที่ต้องมีการปะทะป่วยเป็นโรคนี้กันมาก เช่น นักเบสบอล นักฟุตบอล แม้กระทั่งนักมวย อย่าง 'พเยาว์ พูลธรัตน์' วีรบุรุษผู้คว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันโอลิมปิกเป็นคนแรกให้กับประเทศไทย ก็ต้องจบชีวิตลงด้วยโรคนี้
         โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส อาการเป็นอย่างไร
         จากชื่อโรคก็พอจะทราบอยู่แล้วว่า ผู้ป่วยเอแอลเอสจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยจะเริ่มอ่อนแรงตามมือ แขน ขา หรือเท้าข้างใดข้างหนึ่งก่อน เช่น เดินแล้วล้มบ่อย สะดุดบ่อย ยกแขนไม่ขึ้น กำมือถือของไม่ได้ หยิบจับของเล็ก ๆ ได้ลำบาก ลุกนั่งลำบาก ใส่รองเท้าแตะแล้วหลุดง่าย
          จากนั้นอาการจะเริ่มหนักขึ้นจนลามไปทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยอาจมีอาการกล้ามเนื้อลีบ หรือกล้ามเนื้อเต้นร่วมด้วย หากเป็นนานเข้าจะมีอาการกลืนอาหารลำบาก สำลักง่าย พูดไม่ชัด พูดเหมือนลิ้นแข็ง ลิ้นลีบ แขนขาลีบ แต่จะไม่มีอาการชา ยังสามารถกลอกตาไปมาได้ กลั้นปัสสาวะ-อุจจาระได้ตามปกติ และมีสติสัมปชัญญะดี
          อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยหลายรายไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง และปล่อยอาการต่าง ๆ ไว้นาน เพราะคิดว่าเป็นโรคอื่น กว่าจะมาพบแพทย์ก็มีอาการหนักแล้วคือกล้ามเนื้อไปอ่อนแรงที่ระบบหายใจ เช่น กระบังลมอ่อนแรง จนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เพราะมีอาการเหนื่อยง่าย โดยเฉพาะเวลานอนราบหรือมีอาการต้องตื่นกลางดึก เพราะมีอาการเหนื่อย หอบ หายใจลำบาก สุดท้ายจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย และไม่สามารถกลืนอาหารและน้ำได้ด้วย ต้องให้อาหารทางสายยางผ่านจมูกหรือทางหน้าท้อง และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
         สุดท้ายแล้ว หากอาการหนักมาก ๆ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตในที่สุด เพราะระบบหายใจล้มเหลว และเกิดการติดเชื้อในปอด เพราะสำลักน้ำและอาหาร ระยะเวลาโดยเฉลี่ยตั้งแต่เริ่มมีอาการจนถึงเสียชีวิต อาจกินเวลาตั้งแต่ 2 ปี ถึง 5 ปี อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายอาจมีการดำเนินโรคสั้นหรือยาวกว่านี้ได้ โดยผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเสียชีวิตเร็ว ได้แก่ ผู้ป่วยเพศหญิง ผู้ป่วยที่เริ่มเป็นโรคเมื่ออายุมากแล้ว หรือมีอาการกลืนลำบาก สำลักง่าย และพูดไม่ชัดเป็นอาการนำ
         โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส รักษาได้หรือไม่
         ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเอแอลเอสให้หายขาด โดยร้อยละ 50 ของผู้ป่วยเอแอลเอส โดยเฉลี่ยจะเสียชีวิตหลังจากมีอาการในระยะเวลาประมาณ 2 ปี มีประมาณร้อยละ 50 ที่จะมีชีวิตอยู่ได้ราว ๆ 5 ปี และมีแค่ร้อยละ 10 เท่านั้นที่อาจมีชีวิตอยู่ได้ 8-10 ปี
          อย่างไรก็ตาม ยังมียาชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับโดยองค์การอาหารและยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า ไรลูโซล (Riluzole) ให้สามารถใช้กับผู้ป่วยโรคนี้ได้ เพราะยาจะไปออกฤทธิ์ต่อต้านสารกลูตาเมต ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งที่ถ้ามีมากเกินไปจะทำให้เกิดการตายของเซลล์ ยาตัวนี้จึงจะไปช่วยลดการทำลายเซลล์ประสาทในไขสันหลังและสมองได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่สามารถช่วยทำให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดีขึ้น ทำได้เพียงช่วยยืดอายุของผู้ป่วยออกไปได้อีกราว ๆ 3-6 เดือน
        เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แพทย์จึงต้องรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดน้ำลาย ยาแก้อาการท้องผูก ทำกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด การฝึกพูด ฝึกกลืน หากผู้ป่วยกลืนอาหารไม่ได้ก็ต้องใส่สายยางให้อาหาร และถ้าเหนื่อยหอบ หายใจเองไม่ได้ แพทย์ก็จะใช้เครื่องช่วยหายใจอีกทาง
         การดูแลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส
         ผู้ป่วยโรคนี้นอกจากจะทานยาตามแพทย์สั่งแล้ว ยังต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ  ทำกิจกรรมและทำกายภาพบำบัดกล้ามเนื้อส่วนที่อ่อนแรง เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานนาน ๆ ฝ่อลีบลง ป้องกันแผลกดทับ และป้องกันการติดของข้อ โดยสามารถกลับไปดูแลที่บ้านได้ แต่ทางครอบครัวต้องมีความพร้อมในการให้อาหารทางสายยาง ดูแลเรื่องการขับถ่าย ฯลฯ
         สิ่งสำคัญก็คือ ผู้ป่วยโรคนี้จะมีความเครียดง่าย เพราะรู้ดีว่าโรคนี้รักษาไม่ได้ ทำได้เพียงประคับประคองอาการ อีกทั้งยังได้รับความทุกข์ทรมานจากโรค ทำให้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม้สมองจะยังรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ครอบครัวจึงเป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ผู้ป่วยยอมรับและเข้าใจกับโรคนี้ เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุขได้มากที่สุด
        ข้อมูลจาก : สถานพยาบาลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ , คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


****************************************************
#icareishare #มากิพลัส
#สมองส่วนที่ควมคุมกล้ามเนื้อโต
#เสมหะในลำคอ #หายใจไม่ปกติ
เด็กชายปองภพ แสงละออ (น้องออก้า) น้องออก้าจะมีเสมหะในลำคอตลอดเวลาตั้งแต่แรกเกิด ทานยาก็ไม่หายเวลาเป็นหวัดจะมีเสมหะเยอะกว่าปกติทำให้เวลากินอาหารจะมีอาการสำลักตลอดและหายใจไม่ปกติ และน้องออก้ายังเป็นโรคเกี่ยวกับสมองส่วนที่ควบคุมกล้ามเนื้อโตไม่เต็มที่ทำให้น้องคอไม่แข็งยกคอได้นิดหน่อยแต่พอได้มาเจอกับน้ำผลไม้มากิพลัสซึ่งมีเพื่อนแนะนำจึงสั่งมาให้น้องทานเมื่อทานได้ 1 สัปดาห์อาการที่มีเสมหะในคอของน้องก็เริ่มหาย ทานอาหารไม่สำลักและทานได้เยอะขึ้น เวลานอนก็หลับสนิทเพราะการหายใจเป็นปกติ ตอนนี้น้องยังไม่มีเสมหะแล้วค่ะ อีกทั้งเรื่องกายภาพบำบัดของน้องก็ดีขึ้น พัฒนาการดีขึ้นเรื่อยฉันหวังว่ามากิพลัสจะช่วยให้น้องมีพัฒนาการเหมือนเด็กปกติได้ค่ะ ขอบคุณมากิพลัสค่ะ



##############################################################

#icareishare
#เท้าบวม #กล้ามเนื้ออ่อนแรง
#maquiplus

คุณ Noodee กล้ามเนื้ออ่อนแรง เท้าบวมและไม่สบายมาหลายวัน 
เนื่องจากชอบกีฬากอล์ฟ ออกรอบบ่อยมากๆ คุณกานต์ แนะนำให้ทดลอง
ชิมน้ำผลไม้ \"บียอนด์ มากิ พลัส\"ตอนเที่ยงของเมื่อวาน 1 ช็อต รสชาดหอมหวาน อร่อย จึงตัดสินใจสมัครสมาชิก และซื้อสินค้ามาทดลองดื่ม ที่ตื่นเต้นมากคือ.....!!! ก่อนสวดมนต์ตอนค่ำ ด้วยรสชาดที่อร่อยดื่มไปอีก 3 ช็อต ปกติจะเมื่อยเวลานั่งนาน ปรากฏว่าหลังสวดมนต์ ลุกขึ้นแบบไม่ปวด ไม่เมื่อย

พอตื่นเช้ามา เท้าที่บวมอยู่ยุบลงแบบน่าทึ่ง รู้สึกสดชื่น แบบไม่เคยเป็นมาก่อน... เช้าวันนี้ ดื่มไปอีก 3 ช็อต พร้อมเดินทางไปแข่งกอล์ฟรายการสิงห์ฯ...
- ขอบคุณ คุณกานต์ เพื่อนชอบ ที่แนะนำสิ่งดีๆให้ค่ะ


Cr.นู๋ดี


##############################################################


Beyonde MaquiPlus
#เครื่องดื่มแอนตี้ออกซิแดนท์
"เลือดสะอาด ตับแข็งแรง"
---------------------------
บียอนด์ มากิพลัส
รสชาดอร่อย เพียงวันละ 2 - 4 แก้วช็อท (เช้า/เย็น)
สุดยอดน้ำผลไม้ที่ดูแลตับ และสุขภาพ
Beyonde Maqui Plus By Unilever
ดื่มได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก เพื่อสุขภาพที่ดี
✏เดือนละ 2ขวดสำหรับดูแลสุขภาพทั่วไป
✏เดือนละ 4ขวดสำหรับเร่งฟื้นฟูสุขภาพ
✏แนะนำ ให้ดื่มต่อเนื่องอย่างน้อย 3เดือน
เพื่อผลลัพท์ทางสุขภาพที่ชัดเจน
-------------------------------
อย. 10-3-08945-1-0191
ปริมาณขวดละ 750 มล.
1 ขวด ราคา 1,800 บาท
2 ขวด ราคา 3,300 บาท
6 ขวด (1ลัง) ราคา 9,800 บาท
หรือสมัครสั่งต่อเนื่อง 6 เดือน รับฟรีต่ออีก 1 เดือนทันที
******************************************
สนใจสมัครตัวแทนจำหน่าย / สั่งซื้อสินค้า
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คุณทุวัน (ทุ)
Tel. 064-697-1979
Line : tuwan_tae


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น